อังกุระเทพบุตรและอินทะกะเทพบุตร

              ในกาลเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา พระองค์ทรงประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลา ณ โคนต้นปาริฉัตตกะเหล่าเทวดาทั้งหลายจากหมื่นจักรวาฬ ประชุมพร้อมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

              พระพุทธเจ้าย่อมไพโรจน์กว่าเทวดาทั้งหมดด้วยรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ ขณะนั้นพระพุทธมารดาเสด็จมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ประทับนั่งด้านขวา อินทะกะเทพบุตรก็มานั่งด้านขวาเหมือนกันอังกุระเทพบุตรมานั่งด้านซ้าย ต่อมาเมื่อเหล่าเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่รัศมีใหญ่มาถึงอังกุระเทพบุตรต้องถอยร่นออกไป ถอยร่นออกไปจนต้องไปอยู่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ส่วนอินทะกะเทพบุตรผู้มีศักดิ์และรัศมีมีไม่ด้อยกว่าใครนั่งอยู่ที่เดิมนั่นเอง

   


             พระศาสดาทรงทอดพระเนตรดูเทพบุตรทั้งสองนั้นแล้ว มีพระประสงค์จะยังบริษัทให้ทราบถึงความแตกต่างแห่งทานอันบุคคลถวายแล้วแก่ทักขิไณยบุคคล (บุคคลผู้เป็นเนื้อนาบุญ) ในศาสนาของพระองค์เป็นกุศลมีผลมาก จึงตรัสว่า " ดูก่อนอังกุระระ เมื่อชาติก่อนเธอได้ทำแถวเตาไฟตั้งหม้อปรุงอาหาร และ ตั้งวัตถุทานมากมายเรียงรายยาว ๑๒ โยชน์เพื่อแจกจ่ายเป็นทานทุกวันเป็นเวลานานประมาณหมื่นปี บัดนี้เธอมาสู่สมาคมของเราเหตุไฉนถึงได้โอกาสในที่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ซึ่งไกลกว่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหมด? " พระสุรเสียงนั้นดังถึงพื้นปฐพี บริษัททั้งหมดได้ยินกันทั่ว

              อังกุระเทพบุตรได้กราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จะต้องการอะไรด้วยทานอันปราศ จากทักขิไณยบุคคล ผู้รับทานเหล่านั้นล้วนเป็นปุถุชนไม่ใช่อริยะบุคคล ส่วนอินทะกะเทพบุตรนี้ถวายทานเพียงเล็กน้อยแก่พระอรหันต์ยังรุ่งเรืองยิ่งกว่าข้าพระองค์ ดุจพระจันทร์ในหมู่ดาว พระเจ้าข้า."

              จากนั้นพระศาสดาตรัสกับอินทะกะเทพบุตรว่า " ดูก่อนอินทะกะเธอยังนั่งอยู่ที่เดิมด้านขวาของเรา เหตุไฉนจึงไม่ต้องถอยร่นออกไปล่ะ ?"

             อินทะกะเทพบุตรกราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ข้าพระองค์ได้ตักบาตรด้วยข้าวสุกทัพพีเดียวที่เขาจัดไว้ให้ข้าพระองค์ แก่พระอนุรุทธเถระผู้เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ข้าพระองค์ได้ทักขิไณยสมบัติแล้ว ดุจชาวนาหว่านพืชนิดหน่อยในนาดี พระเจ้าข้า. "

             เพื่อประกาศทักขิไณยบุคคล อินทะกะเทพบุตรจึงกล่าวเป็นคาถาว่า :

              " พืชแม้มากอันบุคคลหว่านแล้วในนาดอนผลย่อมไม่ไพบูลย์ (เต็ม) ทั้งไม่ยังชาวนาให้ยินดีฉันใด ทานมากมายตั้งไว้ในหมู่ชนผู้ทุศีลผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังผู้ให้ให้ยินดีฉันนั้น,"

              " พืชแม้เล็กน้อยอันบุคคลหว่านแล้วในนาดี เมื่อฝนหลั่งมาผลย่อมไพบูลย์ ยังชาวนาให้ ยินดีฉันใด สักการะแม้เล็กน้อยทำแล้วในหมู่ท่านผู้มีศีล ผู้มีคุณธรรม ผู้คงที่ ผลย่อม ไพบูลย์ ยังผู้ให้ให้ยินดีฉันนั้น."
พระศาสดาตรัสกับอังกุระเทพบุตรว่า " ดูก่อนอังกุระ การเลือกเสียก่อนแล้วให้ทานจึงควร ทานย่อมมีผลมากด้วยอาการอย่างนี้."

              แล้วพระองค์ตรัสเป็นคาถาว่า :

             "ทานอันบุคคลให้ในเขตใดแล้วมีผลมากควรให้ในเขตนั้น การเลือกให้พระสุคตทรงสรรเสริญ ทานที่บุคคลให้ในทักขิไณยบุคคลทั้งหลายในโลก คือหมู่สัตว์นี้มีผลมาก เหมือนเมล็ด
พืชที่หว่านในนาดีฉันนั้น."

             "นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย หมู่สัตว์นี้มีราคะ (ความกำหนัด) เป็นเครื่องประทุษร้าย เพราะเหตุนั้น ทานที่ให้ในท่านที่สิ้นราคะจึงมีผลมาก หมู่สัตว์นี้มีโทสะ เป็นเครื่องประทุษร้าย เพราะเหตุนั้นทานที่ให้ในท่านที่สิ้นโทสะจึงมีผลมาก หมู่สัตว์นี้มีโมหะ (ความหลง) เป็น เครื่องประทุษร้าย เพราะเหตุนั้นทานที่ให้ในท่านที่สิ้นโมหะ จึงมีผลมาก หมู่สัตว์นี้มีความอยากเป็นเครื่องประทุษร้าย เพราะเหตุนั้นทานที่ให้ในท่านที่สิ้นความอยากจึงมีผลมาก."

             ในกาลจบเทศนา อังกุระเทพบุตรและอินทะกะเทพบุตรก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลการเทศนาของพระศาสดามีประโยชน์แก่เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายดังนี้แล

   
 

(อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๔๒ หน้า ๓๑๐)
 


หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net