พระเจ้ามันธาตุมหาราช
(สุดยอดแห่งมนุษย์ผู้บริโภคกาม)

          ในอดีตกาลครั้งปฐมกัป เมื่อโลกเริ่มสร้างได้มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้ามหาสัมมะตะราช เป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก เมื่อทรงสิ้นพระชนม์แล้วโอรสของพระองค์พระนามว่า โรชะ ได้สืบราชสมบัติปกครองโลกต่อมา และมีพระราชโอรสสืบราชย์สมบัติปกครองโลกตามลำดับดังนี้คือ พระเจ้าวะชะโรชะ พระเจ้ากัลยาณะ พระเจ้าวะระกัลยาณะ พระเจ้าวะระอุโปสะถะ โอรสของพระเจ้าวะระอุโปสะถะพระนามว่า มันธาตุ ได้สืบราชสมบัติต่อมา

        พระเจ้ามันธาตุทรงมีทรัพย์สมบัติมากมาย พระองค์มีปราสาท ๓ หลังคือปราสาทสำหรับฤดูร้อน สำหรับฤดูฝนและฤดูหนาว มีนางสนมกำนัลหลายแสนนางขับร้องฟ้อนรำ ขับกล่อมบำเรอพระองค์อยู่บนปราสาทตลอดทั้งวันทั้งคืน พระองค์ทรงเสวยความสุขในกามคุณ ๕ อย่างล้นเหลือดุจเทวดา ในงานราชการพระองค์ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองจนเจริญในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง สะพาน สวนสาธารณะ และสิ่งก่อสร้างอันเป็นสาธารณะประโยชน์ ราษฎรทั้งแผ่นดินไม่มีใครติเตียนพระองค์เลยมีแต่รักพระองค์ทั้งนั้น พระองค์ทรงมีรัตนะต่างๆคือ เพชร นิล จินดา เป็นต้น และเงินทองอย่างมากมาย หากพระองค์ปรารถนาเพียงปรบพระหัตถ์ทั้งสอง ฝนรัตนะทุกประการก็ตกลงมาเต็มพื้นแผ่นดินสูงถึงหัวเข่าดุจฝนทิพย์โปรยลงมาจากอากาศ
พระองค์ทรงยินดีในการให้ทานทรงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ
ที่ประตูเมืองหลวงทั้ง ๔ ด้าน ที่กลางพระนคร ๑ โรง และที่ประตูพระราชนิเวศน์ ๑ โรง โรงทานแต่ละโรงจะมีเจ้าพนักงานคอยประกาศเชิญชวนให้มารับสิ่งของ เชิญชวนให้มากิน เชิญชวนให้มาดื่ม สิ่งของที่ทรงแจกมีทุกอย่างคือ รัตนะทุกชนิด เงิน ทอง สัตว์ ๒ เท้า สัตว์ ๔ เท้า รถ เรือ สตรี เครื่องนุ่งห่ม ของกินของใช้เป็นต้น นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงมีฤทธิ์ ๔ ประการคือ....
  ๑. ทรงมีพระรูปงามน่าดูน่าชม น่าเลื่อมใสกว่ามนุษย์ทั่วไป
๒. ทรงมีอายุยืนกว่ามนุษย์ทั่วไป
๓. ทรงมีพระโรคน้อยกว่ามนุษย์ทั่วไป
๔. ทรงเป็นที่รักของมนุษย์ทั่วไป

              พระองค์ทรงเป็นมนุษย์อัศจรรย์อย่างนี้ พระองค์ทรงสอนให้ราษฎร์ของพระองค์ให้ทาน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ พระองค์ก็ทรงรักษาศีล ๕ ในวันธรรมดา วันอุโบสถพระองค์ก็รักษาศีล ๘ อยู่บนปราสาทตามโบราณราชประเพณี เพราะพระองค์ทรงรักษาศีล ๘ อันเป็นวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิแต่โบราณ แก้ว ๗ ประการคือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้วและนายกแก้วจึงเกิดแก่พระองค์ พระองค์จึงทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิด้วยประการฉะนี้ พระองค์ทรงเล่นเป็นพระกุมาร อยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงครองความเป็นอุปราชอยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงครองราชย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแปดหมื่นสี่พันปี ก็พระองค์ทรงมีพระชนม์มายุหนึ่งอสงไขยปี

             วันหนึ่งพระเจ้ามันธาตุไม่ทรงอิ่มในกามคุณ ๕ ของมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงทำตัณหาให้เต็มได้ จึงทรงแสดงอาการกระสับกระส่าย ระอาพระทัยอำมาตย์ทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “ข้าแต่สมมุติเทพ พระองค์ทรงกระสับกระส่าย ทรงระอาเพราะเหตุใดพระเจ้าข้า?” พระองค์ทรงตรัสว่า “เรามองเห็นราชสมบัติอันเกิดจากกำลังบุญของเรา แต่ราชสมบัตินี้ยังไม่เป็นที่พอใจของเรา ดูก่อนอำมาตย์ทั้งหลาย ยังมีสถานที่ไหนบ้างที่น่ารื่นรมย์กว่านี้ ยังมีสถานที่ไหนบ้างที่จะสนุกสนานเพลิดเพลินกว่านี้?” อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาน่ารื่นรมย์ น่าสนุกสนานเพลิดเพลินพระเจ้าข้า” เมื่อพระองค์ทรงสดับเช่นนั้นพระองค์จึงทรงสั่งจักรแก้วว่า “จักรแก้วอันเจริญ จงนำเราไปยังเทวะโลกชั้นจาตุมหาราชิกา” จักรแก้วก็พุ่งขึ้นสู่นภากาศ ไปยังเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา พระองค์พร้อมด้วยบริวารเป็นจำนวนมากก็เหาะตามจักรแก้วไป เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงเทวโลกชั้นจาตุมหาราช ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็ทรงถือดอกไม้และของหอมอันเป็นทิพย์ห้อมล้อมด้วยหมู่เทพบุตร เทพธิดา ออกมากระทำการต้อนรับนำพระองค์เสด็จสู่ทิพย์วิมาน ถวายทิพย์สมบัติในเทวโลกให้พระองค์ทรงปกครอง

           พระองค์ห้อมล้อมด้วยบริษัทของพระองค์ครองราชย์สมบัติอยู่ในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชนั้น กาลเวลาล่วงไปช้านาน ราชสมบัติในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาไม่อาจทำตัณหาของพระองค์ให้เต็มได้ จึงทรงแสดงอาการกระสับกระส่ายเบื่อระอา ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทรงเห็นดังนั้นจึงทูลถามว่า “ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงกระสับกระส่ายเบื่อระอาเพราะเหตุอะไร?” พระองค์ทรงตรัสว่า “ดูก่อนท้าวมหาราชทั้ง ๔ นอกจากที่นี่แล้วที่ไหนน่ารื่นรมย์กว่านี้ น่าสนุกเพลิดเพลินกว่านี้?” ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พวกข้าพระองค์เป็นบริษัทผู้คอยอุปฐากผู้อื่น เทวะโลกชั้นดาวดึงส์น่ารื่นรมย์ น่าสนุกเพลิดเพลินพระเจ้าข้า?”

             พระเจ้ามันธาตุจึงตรัสสั่งจักรแก้วว่า “จักรแก้วอันประเสริฐ จงนำเราไปยังเทวะโลกชั้นดาวดึงส์” จักรแก้วก็พุ่งไปสู่เทวะโลกชั้นดาวดึงส์ พระองค์พร้อมทั้งบริษัทก็เหาะตามจักรแก้วไปสู่เทวะโลกชั้นดาวดึงส์ ลำดับนั้นท้าวสักกะเทวราชทรงถือดอกไม้และของหอมทิพย์ห้อมล้อมด้วยหมู่ทวยเทพทรงทำการต้อนรับพระองค์ ทรงจูงพระหัตถ์ของพระองค์พลางตรัสว่า “ข้าแต่มหาราช ขอเชิญพระองค์เสด็จมาทางนี้” ในเวลาที่พระราชาอันหมู่ทวยเทพห้อมล้อมเสด็จไป นายกแก้วและขุนพลก็กราบทูลลาพระราชานำจักรแก้วและบริษัทกลับสู่โลกมนุษย์ คืนยังนครของตน

            ท้าวสักกะทรงนำพระเจ้ามันธาตุไปยังทิพย์นครทรงแบ่งเทวดาเป็น ๒ พวกและทรงแบ่งเทวะราชสมบัติออกเป็น ๒ ส่วน ถวายพระเจ้ามันธาตุส่วนหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาพระราชาเทวดาและพระราชามนุษย์ ทั้ง ๒ พระองค์ทรงครองทิพย์ราชสมบัติในภพดาวดึงส์นั้น กาลเวลาล่วงไปท้าวสักกะทรงให้พระชนมายุสิ้นไปสามโกฏิหกหมื่นปีก็จุติ(ตาย) ท้าวสักกะองค์อื่นก็มาบังเกิดแทน แม้ท้าวสักกะองค์นั้นก็ครองทิพย์สมบัติในเทวโลกนั้นร่วมกับพระเจ้ามันธาตุจนหมดพระชนมายุ ด้วยประการนี้ท้าวสักกะ ๓๖ องค์จุติไปแล้ว ส่วนพระองค์ยังคงครองราชย์สมบัติในเทวโลกโดยร่างกายของมนุษย์นั้นเอง เวลาล่วงไปอย่างนี้กามตัณหายังเกิดขึ้นแก่พระองค์ยิ่งขึ้นเหลือประมาณ พระองค์จึงทรงดำริว่า “จะได้ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติในเทวะโลกครึ่งหนึ่ง เราจะฆ่าท้าวสักกะเสียแล้วครองทิพย์สมบัตินี้คนเดียว” แต่พระองค์ไม่อาจฆ่าท้าวสักกะได้ ตัณหาคือความอยากนี้เป็นมูลเหตุของความวิบัติ ดั้งนั้นอายุสังขารของพระองค์จึงเสื่อมไป ความชราเบียดเบียนพระองค์ ธรรมดาร่างกายของมนุษย์ย่อมไม่แตกดับในเทวะโลก พระองค์จึงพลัดตกจากเทวโลกลงสู่มนุษย์โลกในพระราชอุทยานบรรทมแน่นิ่ง พนักงานผู้รักษาพระราชอุทยานเห็นดังนั้นจึงไปกราบทูลให้บรรดาราชตระกูลทราบ พระบรมวงศานุวงศ์พากันเสด็จมาช่วยกันปูลาดที่บรรทมในพระราชอุทยานนั้น อำมาตย์ทั้งหลายทูลถามว่า “ขอเดชะ เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะทำประการใด พระเจ้าข้า?” พระองค์ทรงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงประกาศเรื่องนี้แก่มหาชนด้วยว่า พระเจ้ามันธาตุมหาราชทรงครองราชย์สมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยเป็นบริวารบนโลกมนุษย์ แล้วยังได้ไปครองราชย์สมบัติในเทวะโลกชั้นจาตุมหาราชิกาตลอดกาลนาน จากนั้นได้ไปครองราชย์สมบัติในเทวโลกชั้นดาวดึงส์เป็นเวลานานตลอดพระชนมายุของท้าวสักกะถึง ๓๖ พระองค์ ยังไม่ทำตัณหาคือความอยากให้เต็มได้ กลับมาสวรรคตเสียก่อน” ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนี้แล้วก็เสด็จสิ้นพระชนม์บนที่บรรทมในพระราชอุทยานนั้นเอง

            พระศาสดาตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระองค์ดังนี้แล้วได้ตรัสพระคาถาว่า...
“พระจันทร์ พระอาทิตย์ โคจรส่องรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศมีกำหนดเท่าใด สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยแผ่นดินอยู่มีกำหนดเท่านั้นล้วนเป็นทาสของพระเจ้ามันธาตุมหาราชทั้งสิน ความอิ่มในกามทั้งหลายย่อมไม่มีเพราะฝนคือเงินทอง กามทั้งหลายมีความยินดีน้อยมีทุกข์มาก บัณฑิตย่อมรู้ชัดอย่างนี้ พระภิกษุผู้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมไม่ยินดีในกามทั้งหลายแม้เป็นทิพย์ แต่เป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่งตัณหา”
            เมื่อจบพระธรรมเทศนาพระศาสดาได้ตรัสว่า “พระเจ้ามันธาตุมหาราชในครั้งนั้น คือ เราตถาคต(ตะถาคะตะ) ฉะนี้แล”

  จบ(จากอรรถกาถา มันธาตุราชชาดก เล่มที่ ๕๘)
 

 




หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net