พระเจ้าปายาสิ และมหาชนชาวเสตัพยะนคร พากันไปนั่งสนทนากับ พระกุมารกัสสะปะ ณ ป่าสีสะปาวันดังนี้

บทสนทนาเรื่องนรก สวรรค์

(พระเจ้าปายาสิ) “ท่านกัสสะปะผู้เจริญ โยมมีความเห็นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

(พระกุมารกัสสะปะ) “พระราชา อาตมาจะย้อนถามพระองค์บ้าง พระองค์จะทรงเข้าใจข้อนี้อย่างไร พระจันทร์ พระอาทิตย์เป็นโลกนี้หรือโลกอื่น?

(พระเจ้าปายาสิ) “ท่านกัสสะปะ พระจันทร์ พระอาทิตย์ เป็นโลกอื่น ไม่ใช่โลกนี้”

(พระกุมารกัสสะปะ)
“พระราชา นั่นแสดงว่า โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี”

(พระเจ้าปายาสิ) “ถึงท่านกัสสะปะจะกล่าวอย่างนี้ก็ตาม โยมก็ยังเห็นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”

(พระกุมารกัสสะปะ)“พระองค์ ยังมีข้ออุปมาอยู่หรือ?”
(พระเจ้าปายาสิ) “มี ท่านกัสสะปะ”

(พระกุมารกัสสะปะ) “อุปมาอย่างไร พระราชา”

(พระเจ้าปายาสิ) “ท่านกัสสะปะ โยมมีญาติมิตรที่ทำชั่วด้วยการฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม, พูดเท็จ, พูดส่อเสียด, พูดคำหยาบ, พูดเพ้อเจ้อ,มักได้, ปองร้าย, เห็นผิด ต่อมาเขาล้มป่วยลง โยมเห็นว่าเขาจะไม่หายป่วยแน่จึงเข้าไปหาเขาพูดว่า “ท่านผู้เจริญ สมณะพราหมณ์กล่าวว่าคนที่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ...ฯลฯ... เห็นผิด เมื่อตายแล้วจะไปในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ท่านก็ประพฤติอย่างนั้น ถ้าคำพูดของสมณะพราหมณ์เหล่านั้นเป็นจริง ท่านเมื่อตายแล้วก็จะต้องไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เมื่อท่านตายแล้วหากไปเกิดในอบายภูมิจริงท่านจงกลับมาบอกเราด้วยเถิดว่า โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี คนเหล่านั้นรับคำโยม แล้วไม่เคยกลับมาบอกและไม่เคยส่งคนมาบอกเลย”

(พระกุมารกัสสะปะ) “พระราชา ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะย้อนถามพระองค์บ้าง สมมุติว่าพวกเจ้าหน้าที่ของพระองค์จับโจรที่ทำผิดมาแสดงแล้วกล่าวว่า... พระอาชญามิพ้นเกล้า คนนี้เป็นโจรได้รับการตัดสินแล้วว่ามีความผิด ขอได้โปรดสั่งลงโทษแก่โจรผู้นี้เถิดพระเจ้าข้า พระองค์ก็ตรัสสั่งว่า พวกท่านจงเอาเชือกมัดมือไพล่หลังมันให้แน่นหนา โกนหัว ตีกลองพาตระเวนไปตามถนนออกทางประตูด้านทิศใต้ แล้วจงตัดหัวเสียที่ตะแลงแกง เมื่อพวกเจ้าหน้าที่นำโจรนั้นมาที่ตะแลงแกงเตรียมตัดศีรษะ โจรจะพึงขอร้องผ่อนผันจากพวกเจ้าหน้าที่ว่า ขอท่านจงรอให้ข้าพเจ้าไปบอกแก่ญาติมิตรของข้าพเจ้าที่บ้านก่อน หรือพวกเจ้าหน้าที่จะตัดศีรษะโจรที่กำลังอ้อนวอนอยู่?”

(พระเจ้าปายาสิ) “ท่านกัสสะปะ โจรนั้นจะไม่ได้รับการผ่อนผัน ที่แท้เจ้าหน้าที่จะตัดศีรษะของโจรทั้งที่ร้องขออยู่ทีเดียว”

(พระกุมารกัสสะปะ) “พระราชา โจรก็เป็นมนุษย์ เจ้าหน้าที่ก็เป็นมนุษย์ ยังไม่ได้รับการผ่อนผัน ก็ญาติมิตรของพระองค์ที่ทำกรรมชั่วเมื่อไปสู่นรกแล้วไฉนจะได้รับการผ่อนผันจากนายนิรยบาลซึ่งไม่ไช่มนุษย์ให้รอการลงโทษไว้ให้กลับมาบอกพระองค์เสียก่อนเล่า ด้วยข้ออุปมานี้พระองค์จงเห็นเถิดว่า... โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี”

(พระเจ้าปายาสิ) “ท่านกัสสะปะ กล่าวอย่างนี้ก็จริงอยู่ ถึงกระนั้น โยมก็ยังมีความเห็นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”
(พระกุมารกัสสะปะ)“พระองค์ยังมีข้ออุปมาอยู่หรือ?”

(พระเจ้าปายาสิ) “มีท่านกัสสะปะ”
(พระกุมารกัสสะปะ) “เหมือนอะไร พระราชา”

อุปมาด้วยคนมีศีล

(พระเจ้าปายาสิ) “ท่านกัสสะปะ โยมมีญาติมิตรที่เป็นคนดีมีศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่มักได้ ไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบ ต่อมาเขาล้มป่วย เจ็บหนัก โยมเห็นว่าเขาไม่หายป่วยแน่จึงเข้าไปหาพูดกับเขาว่า ท่านผู้เจริญ สมณะพราหมณ์กล่าวว่า คนทำดี มีศีล ไม่ฆ่าสัตว์...ฯลฯ...มีความเห็นชอบ ตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์ ท่านก็ประพฤติอย่างนั้น ถ้าคำพูดของสมณะพราหมณ์เหล่านั้นเป็นจริง ท่านมาบอกเราด้วยเถิดว่า...โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี คนเหล่านั้นรับคำแล้วไม่เคยกลับมาบอกและไม่เคยส่งคนมาบอกเลย”

อุปมาด้วยบ่ออุจจาระ

(พระกุมารกัสสะปะ) “พระราชา ถ้าเช่นนั้นอาตมาจะอุปมา เปรียบเหมือนคน ตกลงไปในบ่ออุจจาระมิดศีรษะ พระองค์ทรงสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันดึงเขาขึ้นจากบ่ออุจจาระแล้วให้เอาไม้ไผ่ซีกขูดอุจจาระออกจากตัวเขา เอาน้ำสะอาดล้างสามครั้งให้เอาดินเหลืองขัดตัวสามครั้ง เอาน้ำหอมชโลมตัว แล้วเอาผงเครื่องหอมทาสามครั้งให้แต่งผมและหนวดแล้ว ทาด้วยเครื่องสำอาง สวมพวงมาลัยดอกไม้และให้นุ่งห่มด้วยผ้าที่มีค่ามาก แล้วนำเขาขึ้นชั้นบนปราสาทอันประเสริฐ บำเรอด้วยกามคุณ๕ พระองค์จะเข้าใจข้อนั้นอย่างไร บุรุษผู้นั้นยังจะประสงค์จะจมลงในบ่ออุจจาระนั้นอีกหรือ?”

(พระเจ้าปายาสิ) “ไม่หรอก ท่านกัสสะปะ”
(พระกุมารกัสสะปะ) “เพราะเหตุใดเล่า พระราชา?”

(พระเจ้าปายาสิ) “ท่านกัสสะปะ เพราะบ่ออุจจาระไม่สะอาด สกปรก มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด”
(พระกุมารกัสสะปะ) “พระราชา นั้นฉันใดข้อนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน พวกมนุษย์ทั้งไม่สะอาด ทั้งสกปรก ทั้งมีกลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด พระราชา กลิ่นเหม็นของเนื้อตัวมนุษย์นั้นคลุ้งไปถึงเทวดาตั้งร้อยโยชน์ ก็ญาติมิตรของพระองค์ประพฤติดีแล้วไปเกิดบนสวรรค์ยังจะอยากกลับมาบอกพระองค์อีกหรือ? ด้วยอุปมานี้พระองค์จงเห็นเถิดว่า...โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี”

(พระเจ้าปายาสิ) “ท่านกัสสะปะ กล่าวอย่างนั้นก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้นโยมก็ยังเห็นอยู่ว่า... โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”
(พระกุมารกัสสะปะ) “ยังมีอุปมาอีกหรือพระราชา?”

(พระเจ้าปายาสิ) “มี ท่านกัสสะปะ ญาติมิตรของโยมที่เป็นคนดีมีศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่เสพสุราเมรัยและสิ่งเสพติดอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ต่อมาเขาล้มป่วย เจ็บหนัก โยมเห็นว่าเขาไม่หายป่วยแน่จึงเข้าไปหาเขาพูดว่า ท่านผู้เจริญ สมณะพราหมณ์กล่าวว่า คนทำดีมีศีล ไม่ฆ่าสัตว์...ฯลฯ...ตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านก็ประพฤติเช่นนั้น ถ้าคำพูดของสมณะพราหมณ์เหล่านั้นเป็นจริง ท่านตายแล้วก็จะต้องไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อท่านไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จริง ท่านจงกลับมาบอกเราด้วยเถิดว่า...โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี คนเหล่านั้นรับคำของโยมแล้วไม่เคยกลับมาบอกและไม่เคยส่งคนมาบอกเลย”

(พระกุมารกัสสะปะ) “พระราชา ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะย้อนถามพระองค์ว่า ร้อยปีของมนุษย์เป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สามสิบราตรีโดยราตรีนั้นนับเป็นเดือนหนึ่ง สิบสองเดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง พันปีทิพย์เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ญาติมิตรของพระองค์ที่มีศีล๕ตายไปเกิดบนสวรรค์เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว พวกเขาคิดว่า...ให้พวกเราเพลิดเพลินกับกามคุณ๕ สัก๒-๓วันก่อน แล้วค่อยไปบอกพระราชาดังนี้ คนเหล่านั้นจะกลับมาบอกพระองค์หรือว่า...โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี”

(พระเจ้าปายาสิ) “ไม่หรอกท่านกัสสะปะ เพราะพวกโยมคงจะตายไปตั้งนานแล้ว แต่ใครเล่าบอกท่านกัสสะปะว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์มี หรือ เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนถึงเพียงนั้น โยมไม่เชื่อท่านกัสสะปะหรอก”

(พระกุมารกัสสะปะ) “เปรียบเหมือน คนตาบอดแต่กำเนิดไม่เห็นสีดำ สีขาว สีเขียว สีแหลือง สีแดง ไม่เห็นที่เรียบและไม่เรียบ ไม่เห็นดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เขาจึงพูดว่าสีดำ...ฯลฯ...ไม่มี ผู้เห็นสีดำ สีขาว สีเขียว...ฯลฯ...ก็ไม่มี ดังนี้ เขาผู้พูดอย่างนั้นจะได้ชื่อว่าพูดถูกหรือ?”

(พระเจ้าปายาสิ) “พูดไม่ถูก ท่านกัสสะปะ เพราะรูปดังกล่าวนั้นมีอยู่ เขาจึงชื่อว่าพูดไม่ถูก”

(พระกุมารกัสสะปะ) “พระราชา อีกประการหนึ่ง บุคคลทั่วไปไม่อาจเห็นเทวดาด้วยตาเนื้อแต่สมณะพราหมณ์ผู้อยู่ป่าอันสงัด ไม่ประมาทมีความเพียรมีจิตมุ่งต่อพระนิพพานอยู่ ชำระทิพย์จักษุให้บริสุทธิ์ ย่อมเห็นโลกนี้ เห็นโลกอื่น เห็นนรก เห็นสวรรค์ ทั้งหมู่สัตว์ที่ผุดเกิดได้ด้วยทิพย์จักษุอันบริสุทธิ์เกินตาเนื้อของมนุษย์ พระราชา ขอพระองค์จงเข้าพระทัยเถิดว่า...โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี”

(จากส่วนหนึ่งของ ปายาสิราชัญญสูตร พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐)

(พระเจ้าปายาสิ)

(พระกุมารกัสสะปะ)

(พระเจ้าปายาสิ)

(พระกุมารกัสสะปะ)

 

 



 
หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม I ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003 Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net